• คัดหุ้นปัจจัยพื้นฐานผ่านวิธี Top Down & Bottom up

ปัจจุบันในกระดานเทรดหุ้นนั้นมีจำนวนหุ้นให้เลือกเทรดมากมายกว่าหลายร้อยตัว นักลงทุนมือใหม่ หรือ นักลงทุนรายย่อย เมื่อตัดสินใจจะเทรดหุ้นแล้ว มักเกิดคำถามและความกังวลใจมากมาย ว่าควรจะเลือกหุ้นตัวไหนอย่างไรดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว “การเทรดหุ้น” ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วจะการันตีผลตอบแทนสูง ๆ ได้ตามความต้องการ


แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการใด ๆ เลยที่จะมาช่วยประกอบการตัดใจให้นักลงทุนคัดหุ้นพื้นฐานดีสักตัวมาไว้ในพอร์ตได้ การวิเคราะห์ผ่านมุมมอง Top Down & Bottom up เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากสำหรับนักเทรดหุ้นสายปัจจัยพื้นฐาน หรือ Value Investor (เทรดหุ้น VI) เพราะนักลงทุนเหล่านี้มักจะพิจารณาเลือกซื้อหุ้นจากปัจจัยพื้นฐาน เศรษฐกิจ งบการเงิน เพื่อนำไปคาดการณ์ผลตอบแทนในอนาคตหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนตัวนั้น และมักจะอดทนต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้นจากปัจจัยอื่น ๆ จึงจำเป็นต้องใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกหุ้นอย่างถี่ถ้วน ซึ่งการวิเคราะห์ของนักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานจะแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ ดังต่อไปนี้




รูปแบบที่ 1 : Top Down Analysis

เป็นการมองผ่านมุมมองที่ใหญ่ที่สุดก่อนแล้วค่อยเป็นการวิเคราะห์ภาพรวมสถานการณ์ระดับโลก การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ว่าจะเกิดผลอะไรตามมาบ้าง แล้วจึงมองให้เป็นภาพลึก ๆ เพื่อพิจารณาถึงปัจจัยอื่นในการเลือกหุ้นที่ขนาดเล็กลงมาตามลำดับ

1.) ภาพรวมใหญ่ที่สุด คือ การวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงระดับโลก เช่น ระบบเศรษฐกิจมหภาค สังคม ธุรกิจ วัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ซึ่งหุ้นที่เทรนด์ธุรกิจหรือเศรษฐกิจขณะนั้นสนับสนุนมักเป็นหุ้นที่ได้เปรียบ แต่ในทางกลับกันหากเกิดเหตุการณ์อื่น ๆ ที่มีผลอย่างแพร่หลายระดับโลก ก็อาจส่งผลให้หุ้นในธุรกิจบางประเภทเกิดการชะลอตัว ผลประกอบหรือผลตอบแทนจากการถือหุ้นประเภทนั้นก็อาจจะลดลงไปด้วย นอกจากนี้การมองภาพรวมขนาดใหญ่ยังหมายถึงการพิจารณาถึงแนวโน้มการเติบโต ทางเศรษฐกิจ การเมือง และโครงสร้างประชากร เพื่อศึกษาว่า ตลาดหุ้นในประเทศ ตลาดหุ้นต่างประเทศ หรือตลาดหุ้นในภูมิภาคไหนมีแนวโน้มจะเติบโตได้ดี สามารถเอื้ออำนวยและตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุนมากที่สุด 

2.) ภาพขนาดกลาง เป็นการมองภาพรวมของปัจจุบันและอนาคตในแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาว่าอุตสาหกรรมไหนมีแนวโน้มได้ผลประโยชน์จากภาพรวมเศรษฐกิจขณะนั้น สินค้า หรือ บริการจากอุตสาหกรรมใดกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ก็จะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นปรับตัวสูงขึ้นตาม ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะแปรผันโดยตรงทำให้หุ้นจากกิจการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมมีมูลค่าและความต้องการเพิ่มมากขึ้นไปด้วย

3.) ภาพขนาดเล็ก เมื่อมองเห็นถึงอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีแล้ว อันดับต่อไปควรพิจารณาถึงบริษัทหรือธุรกิจที่ผลประกอบการเป็นอันดับต้น ๆ ในอุตสาหกรรมนั้น มองหาบริษัทที่ได้เปรียบทางการแข่งขันในสายอุตสาหกรรมเดียวกัน สินค้าและบริการยังมีแนวโน้มจะยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างต่อเนื่อง และมีความสามารถเติบโตได้ต่อไปในอนาคต แล้วนำหุ้นจากบริษัทเหล่านั้นเข้าไปอยู่ในส่วนของ Stock Watch List เพื่อทำให้สะดวกต่อการคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตในขั้นตต่อไป

4.) ภาพขนาดเล็กที่สุด เป็นการวิเคราะห์เจาะลึกทั้งข้อมูลคุณภาพของแต่ละบริษัททั้ง ได้แก่ คุณภาพของสินค้า บริการ โครงสร้างบริษัท ความน่าเชื่อถือของผู้บริหาร การวิจัยเพื่อพัฒนากิจการ การเติบโตของธุรกิจ และ ข้อมูลเชิงปริมาณในส่วนของงบการเงิน ทั้งสถานะงบการเงินปัจจุบัน งบกระแสเงินสด งบกำไร-ขาดทุน งบดุล ความสามารถในการทำกำไรเติบโตเท่าไหร่ รวมถึงดูอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ เช่น P/E ROE ROA อัตรากำไรสุทธิ เพื่อนำไปเป็นสิ่งที่ช่วยตัดสินใจเลือกหุ้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและตอบสนองความต้องการของนักลงทุน 


ตัวอย่างเช่น: 

สถานการณ์ภาวะเงินเฟ้อทั้งโลกเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารโลกได้ออกนโยบายการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยเพื่อควบคุมให้อัตราของเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย ซึ่งธนาคารในประเทศไทยทั้งภาครัฐ-เอกชน ต่างปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นไปตามกัน ส่งผลโดยตรงกับการดำเนินชีวิตของประชากร เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นคนจะใช้จ่ายน้อยลง ซึ่งการใช้จ่ายของผู้คนส่งผลต่อราคาสินค้าและบริการตามหลักอุปสงค์และอุปทาน เศรษฐกิจไทยถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ค่อยดีนัก 

แต่เมื่อพิจารณาต่อไปแล้วยังมีหุ้นบางอุตสาหกรรมที่ได้เปรียบจากการปรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น เช่น หุ้นในวงธนาคารพาณิชย์ ประกันชีวิต เพราะรายได้หลักจากธนาคารพาณิชย์เป็นดอกเบี้ยเงินกู้ ส่วนรายได้จากธุรกิจประกันชีวิตเป็นกำไรสุทธิจากเบี้ยรับรายปี และผลตอบแทนจากเงินลงทุน ทำให้ธุรกิจดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะมีการเติบโตขึ้นของรายได้ สามารถจ่ายปันผลให้ผู้ลงทุนได้มากขึ้น จากนั้นให้เราวิเคราะห์ถึงธุรกิจแต่ละตัวในส่วนของธนาคารพาณิชย์ มองหาธุรกิจธนาคาร ประกันภัยที่ได้เปรียบทางการแข่งขัน และเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมเดียวกัน แล้วจึงค่อยเปรียบเทียบปัจจัยอื่น ๆ ในแต่ละบริษัท ทั้งปัจจัยทางคุณภาพของกิจการ งบการเงิน โอกาสเติบโต ก็จะสามารถพิจารณาหุ้นจากกิจการที่น่าสนใจ และน่าลงทุนในช่วงนั้นได้




รูปแบบที่ 2 : Bottom up Analysis

คือ การวิเคราะห์จากมุมมองเล็กที่สุดแล้วพิจารณาชั้นบนต่อไปตามลำดับจนเห็นภาพมุมมองที่ใหญ่ที่สุด เป็นวิธีที่มองย้อนกลับไปจากวิธี Top Down Analysis อาจจะเริ่มต้นจากมองหาหุ้นที่เราเห็นแล้วให้ความสนใจเป็นพิเศษ มองว่ากิจการมีความมั่นคง มีความสามารถที่จะเติบโต จากนั้นควรไปดูที่ความเป็นมาของบริษัท โครงสร้างการบริหาร การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ หรือ งบการเงิน เพื่อนำไปวิเคราะห์หาอัตราส่วนทางการเงินพวก P/E ROE ROA อัตรากำไรสุทธิ แล้ววิเคราะห์ต่อว่าในอุตสาหกรรมเดียวกันนั้นมีคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่าไหม คาดการณ์สภาวะตลาดในเวลาต่อ ๆ ไปว่าหุ้นของบริษัทที่สนใจยังมีความสามารถในการทำกำไรและยังได้เปรียบเป็นอันดับต้น ๆ ของในระดับอุตสาหกรรมเดียวกันหรือไม่ 

ในขั้นตอนสุดท้ายจึงเป็น มองภาพรวมของทั้งอุตสาหกรรมว่าเป็นที่ต้องการในสถานการณ์ขณะนั้น ก็ครบขั้นตอนการวิเคราะห์และถือเป็นหุ้นที่น่าลงทุน แต่หากเมื่อมองภาพขนาดใหญ่แล้ว มีเหตุการณ์ การเปลี่ยนแปลงสำคัญใด ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมนั้นเกิดการชะลอตัว ก็อาจจะเป็นเวลาที่ยังไม่เหมาะสมต่อการลงทุน และควรพิจารณาหาทางเลือกของหุ้นในอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมไปถึงการดูภาพรวมของเทรนด์เศรษฐกิจ ภาพรวมของตลาดหุ้นในประเทศ เพื่อคัดหุ้นพื้นฐานดีเข้าพอร์ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ตัวอย่างเช่น:

พิจารณาจากกราฟและราคาหุ้น A มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนั้นให้เราศึกษาถึงข้อมูลบริษัทเพื่อนำมาวิเคราะห์ พบว่าเป็นหุ้นของกิจการเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ มีผลกำไรและการเติบโตขึ้นมากใน 2 ปีย้อนหลัง ทั้งยังเป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือเรื่องความปลอดภัย สินค้าและบริการติดอันดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นช่วงการใช้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ New Normal หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ผู้คนยังคงมาตรการรักษาความสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 สินค้าเกี่ยวกับเครื่องมือทางการแพทย์กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด เช่นเดียวกันกับสถานการณ์ทั่วโลกก็ยังคงต้องรับมือกับการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เมื่อพิจารณาจากจุดเล็ก ๆ มาจนมองภาพใหญ่แล้วถือว่าหุ้น A เป็นหุ้นที่น่าลงทุนในช่วงนั้น เพราะสินค้าและบริการจะยังเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มจะเติบโตได้อีกในอนาคต




และเมื่อคัดหุ้นเด่นเข้าพอร์ตได้แล้ว นักลงทุนก็ควรมีเครื่องมือครบครันเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ เลือกใช้โบรกเกอร์ที่สะดวก สามารถเทรดออนไลน์ได้ ไม่มีขั้นต่ำ 


เปิดพอร์ตกับ บล. Zcom เพื่อรับสิทธิ์พิเศษดังกล่าวมากมาย

เทรดสบายด้วยค่าคอมถูกเพียง 0.065%*








เปิดบัญชีคลิกเลย




หมายเหตุ:

*อัตรานี้ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่น ๆ



ที่มา:

The Stock Exchange of Thailand. เลือกหุ้นให้โดนใจ, https://bit.ly/3rUNPv7


The Stock Exchange of Thailand. เทคนิคการเลือกหุ้น Top Down vs Bottom Up, https://bit.ly/3OFZoPL


Cashury. เทคนิคเลือกหุ้น สายปัจจัยพื้นฐานแบบ Top-Down Approach, https://bit.ly/3QpjGhv